

หลักสูตรวิศวกรรมคอมพิวเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ PIM
เรียนรู้การเขียนโปรแกรมรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เพื่อนำมาใช้วิเคราะห์ในเชิงธุรกิจ โดยสร้างกรอบความคิดเชิงวิทยาศาสตร์ และออกแบบการทดลอง เพื่อหาอัลกอริทึมหรือวิธีที่จะสร้างผลประโยชน์ให้กับองค์กรหรือธุรกิจ
“สำหรับน้องๆ ที่อยากเรียนหลักสูตรนี้ ตอนนี้วิศวะ PIM มีการปรับหลักสูตรให้เน้นด้าน AI เพื่อรองรับกับเทรนด์ของภาคธุรกิจ จากประสบการณ์ที่ได้เรียนที่ PIM นั้น สัมผัสได้ว่าทางคณะมีการจัดหลักสูตรที่เหมาะสมและเพียงพอกับการทำงานจริง มีคณาจารย์ที่เก่งและใกล้ชิดกับนักศึกษา สามารถปรึกษาและซักถามข้อสงสัยได้ตลอดเวลา และที่สำคัญคือ ทางสถาบันมี Connection ที่แน่นแฟ้นกับหลากหลายองค์กรและบริษัทด้านไอที ทั้งในและนอกเครือ CP ให้น้องๆ ได้เลือกฝึกงานและเข้าทำงานในอนาคต
หากต้องการเข้าเรียนสาขานี้ ก็ขอให้มีความชอบและหลงใหลในศาสตร์ที่กำลังจะศึกษาไว้จะดีที่สุดครับ อยากให้น้องศึกษาเยอะๆ ว่าสาขานี้เรียนเกี่ยวกับอะไรบ้าง และประกอบอาชีพอะไรได้บ้าง ถ้าหากเราเรียนด้วยความชอบแล้วนั้น มันจะไม่ใช่แค่ 4 ปีที่น้องๆ จะมีความสุขและสนุกในรั้วมหาวิทยาลัย แต่มันจะทำให้น้องๆ มีความสุขในการประกอบอาชีพที่ตัวเองชอบไปตลอดชีวิตเลยครับ ขอให้น้องๆ ได้เจอสิ่งที่ชอบและทำสำเร็จตามที่มุ่งหวังครับ”

ติดอาวุธทักษะรอบด้าน สู่การเป็นวิศวกร AI
ปี 1 – ฝึกงานที่ร้าน 7-Eleven ในตำแหน่งพนักงานทั่วไปครับ แม้การฝึกงานที่นี่จะดูไม่เกี่ยวข้องกับสายงานด้าน AI โดยตรง แต่ก็สามารถนำทักษะการทำงานที่ได้เรียนรู้จากการเป็นพนักงานร้านมาปรับใช้กับการทำงานปัจจุบันได้ครับ เช่น ทักษะการจัดการ การเรียงลำดับความสำคัญ การสื่อสาร การตรงต่อเวลาและวินัย ฯลฯ รวมไปถึงองค์ความรู้ด้านการจัดการร้านสะดวกซื้อที่อาจเป็นประโยชน์ในอนาคต เมื่อเราต้องการนำระบบ AI เข้าไปใช้งานภายในร้านอีกด้วย
ปี 2 – ฝึกงานกับบริษัท เอ็นทีที โซลูชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด ในตำแหน่งนักพัฒนาซอฟต์แวร์ มีหน้าที่เขียนและทดสอบโค้ดโปรแกรมตามสเปกที่กำหนดโดยวิศวกรซอฟต์แวร์อาวุโส ผมได้ฝึกพื้นฐานทักษะการพัฒนาโปรแกรมในโลกจริง ได้แก่ การเขียนโปรแกรมพื้นฐาน, การออกแบบอัลกอริทึม, การเรียนรู้สถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์, กระบวนการทำงานตั้งแต่เริ่มเก็บความต้องการลูกค้า การแปลงความต้องการลูกค้าให้เป็นฟังก์ชั่น การสร้างโปรแกรม การทดสอบและการ Deploy ระบบครับ
ปี 3 – ช่วงปลายปี 3 ต่อเนื่องมาถึงปี 4 ฝึกงานกับบริษัท บริษัท โอโบดรอยด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ตำแหน่งวิศวกรปัญญาประดิษฐ์ด้านการประมวลผลภาษา (NLP) มีหน้าที่วิจัยและพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์เพื่อทำให้หุ่นยนต์มีความฉลาดมากขึ้น ผมได้ฝึกทักษะด้าน AI/NLP ได้แก่ คณิตศาสตร์สำหรับ AI, การประมวลผลภาษาธรรมชาติเบื้องต้น, การประมวลผลสัญญาณเสียง ฯลฯ ได้ฝึกการออกแบบและสร้างโมเดล AI เช่น การสร้าง Chatbot ให้หุ่นยนต์โต้ตอบกับมนุษย์ได้ การสร้าง AI เพื่อให้หุ่นยนต์สามารถจำแนกเสียงต่างๆ ได้ รวมไปถึงได้ฝึกฝนทักษะการวิจัยและพัฒนา การระบุปัญหา, การอ่านงานวิจัยเพื่อทบทวนวรรณกรรม, การสร้างและทดสอบ Prototype ตลอดจนการวัดผลครับ
ปี 4 – เข้าร่วมโครงการ Super AI Engineer Season 2 ที่จัดโดยสมาคมปัญญาประดิษฐ์แห่งประเทศไทย เป็นการแข่งขันพัฒนาโมเดล AI เพื่อตอบโจทย์ในโลกจริงให้กับบริษัทหรือองค์กรต่างๆ ที่เข้าร่วม ผมได้ฝึกทักษะการพัฒนา AI ในหลากหลายด้าน ฝึกฝนการทำงานเป็นทีม การรับมือกับความเครียดและความกดดัน รวมไปถึงการแก้ปัญหาในระยะเวลาที่จำกัดจากการแข่งขันสร้าง AI ในรูปแบบ Hackathon ครับ
การเรียนไปฝึกงานไปทำให้เราได้รู้ว่าอะไรที่เราชอบ และอะไรที่เราไม่ชอบตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งในช่วงปีที่ 2 ที่ได้ฝึกงานด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ทั่วไป ผมยังรู้สึกไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่ จึงได้เปลี่ยนสายงานมาทำด้าน AI ในปีที่ 4 เมื่อเรียนจบ ผมก็ได้ทำงานกับบริษัท โอโบดรอยด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ผมเคยฝึกงานมาก่อน ผมจึงนำทักษะทั้งหมดที่มีมาใช้ได้เลย 100% นอกจากนั้น ทักษะการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เคยฝึกในชั้นปีที่ 2 ก็ยังช่วยให้เราสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นในทีมได้ง่ายมากขึ้น และเข้าใจระบบที่ซับซ้อนของซอฟต์แวร์ที่มีอยู่ในบริษัทได้เร็วขึ้นครับ

Work-based Education X Professional
“ปัจจุบันผมทำงานในตำแหน่งวิศวกรปัญญาประดิษฐ์ (AI Engineer) ที่บริษัท โอโบดรอยด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด โดยเน้นการวิจัยและพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ ด้านการประมวลผลภาพ (Computer Vision), ภาษา และเสียง (NLP & Audio Processing) ตามความต้องการของลูกค้าที่ต้องการ AI ไปแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในธุรกิจ โดยมุ่งเน้นการใช้งานบนหุ่นยนต์หรือระบบในโรงงานเป็นหลักครับ
นอกจากพัฒนา AI แล้ว ยังมีงานอื่นๆ เช่น การแก้ไขปัญหาที่ลูกค้าแจ้งเกี่ยวกับระบบ AI และมีการพัฒนาระบบทั่วไป เช่น ระบบ Monitoring สำหรับหุ่นยนต์ เป็นต้น โดยตำแหน่งนี้จะมีความยืดหยุ่น ได้เรียนรู้สกิลที่กว้าง ไม่จำกัดแค่ AI เท่านั้น ทีมของผมมีการให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ที่ได้มากกว่าเวลาในการทำงาน จึงสนับสนุนให้เราทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ในขณะที่ทำงานอยู่ ได้แก่ การเข้าร่วมค่าย Super AI Engineer เพื่อฝึกสกิลการพัฒนา AI ให้เก่งยิ่งขึ้น รวมไปถึงการเรียนต่อในระดับปริญญาโทอีกด้วย
สำหรับผมแล้ว Work-based Education มีประโยชน์ในหลากหลายด้าน ทำให้เราไม่เบื่อ เพราะมีการฝึกงานสลับกับเรียน ได้เจออะไรใหม่และได้ลองวิชาอยู่ตลอด ได้รู้ว่าอะไรที่เราสามารถทำได้ดี และอะไรที่เรายังขาดไป อาจเป็นองค์ความรู้ หรือทักษะปฏิบัติ ซึ่งเราสามารถกลับมาฝึกฝนสิ่งที่ขาดไปได้ในช่วงที่เรียนอยู่ ทำให้เราพร้อมมากขึ้นสำหรับการทำงานจริง ตลอดจนได้พัฒนาองค์ความรู้ให้กับทางคณะและสถาบัน เพราะคณะวิศวะจะมีการ feedback นักศึกษาเสมอเมื่อฝึกงานจบ ทำให้คณะสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการสอนและหลักสูตร ให้สอดคล้องกับนักศึกษาและความต้องการของภาคธุรกิจได้อย่างรวดเร็วครับ”