
สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (พีไอเอ็ม) และ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย จัดงานสัมมนาครั้งยิ่งใหญ่ “จีนยุคสมัยใหม่กับช่องทางกับโอกาสใหม่ของไทย” เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนา และเจาะลึกแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 15 ของจีน โดยได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ จาง เจี้ยนเว่ยเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำราชอาณาจักรไทย – ฯพณฯ ศาสตราจารย์ ดร. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี – ดร.นลินี ทวีสิน อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย – รองศาสตราจารย์ ดร. สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ และ ดร. ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน ร่วมถ่ายทอดความรู้และวิสัยทัศน์ด้านยุทธศาสตร์สำคัญ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการระหว่างไทย–จีนเมื่อวันพุธที่ 3 ธันวาคม 2568 ณ ห้อง Auditorium ชั้น 16 อาคาร CP All Academy สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ถนนแจ้งวัฒนะ

เวทีแลกเปลี่ยนและเปิดโอกาสใหม่ในการพัฒนาและสร้างประโยชน์ร่วมกัน ภายในงานพบกับการบรรยายจากวิทยากรผู้ทรงเกียรติที่ถ่ายทอดสาระสำคัญของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 15 ของจีน พร้อมการวิเคราะห์ทิศทางที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศ เพื่อชี้ให้เห็นแนวโน้ม ความเสี่ยง และโอกาสต่อประเทศไทย

ฯพณฯ จาง เจี้ยนเว่ย เปิดเผยว่า แผนพัฒนาศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 15 เป็นแผน 5 ปี ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชุดที่ 20 ได้เสนอเป้าหมายหลักได้แก่ 1. บรรลุผลสำเร็จที่โดดเด่นในการพัฒนาที่มีคุณภาพสูง 2. ส่งเสริมยกระดับการพึ่งพาตนเองทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมีนัยสำคัญ 3. บรรลุความก้าวหน้าใหม่ในการปฏิรูปที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น 4. ยกระดับอารยธรรมทางสังคมอย่างมีนัยสำคัญ 5. ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างต่อเนื่อง 6. ความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการสร้างประเทศจีนที่งดงาม และ 7. การเสริมสร้างความมั่นคงแห่งชาติที่แข็งแรงยิ่งขึ้น
ทางด้านความสัมพันธ์จีนและไทยยังคงรุ่งเรืองมาโดยตลอด ได้รับจากการเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ในการทำงานร่วมกัน ทั้งด้านเศรษฐกิจและการค้า ด้านนวัตกรรมวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ด้านวัฒนธรรม และ ด้านการศึกษา โดยทุกย่างก้าวของการพัฒนาเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนทั้งสองประเทศนั้น การเสริมสร้างสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค ซึ่งกำลังกระชับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัลและการเปลี่ยนผ่านไปสู่การมิตรกับสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมกระบวนการพัฒนาให้ทันสมัยขึ้น พร้อมส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนอย่างเข้มแข็ง เพื่อให้มั่นใจว่าจิตวิญญาณ “จีน-ไทย ใช่อื่นไกล พี่น้องกัน”

ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร. สมภพ มานะรังสรรค์ กล่าวว่า“เมื่อประเทศเดินหน้าเข้าสู่ระยะใหม่ จึงเกิดคำถามว่าไทยและจีนจะสามารถเชื่อมโยงภายใต้แผนดังกล่าวอย่างไรบ้าง จึงเป็นโอกาสในการวางยุทธศาสตร์ความร่วมมือ โดยมีประเด็นที่สามารถพัฒนาได้ร่วมกัน ได้แก่ 1.ภาคบริการเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ ทั้งไทยและจีนกำลังก้าวสู่เศรษฐกิจฐานบริการ เช่น การท่องเที่ยว อาหาร Healthcare และ Entertainment 2.เศรษฐกิจสีเขียว ให้ความสำคัญกับการพัฒนาพลังงานทดแทนและการลดการปล่อยคาร์บอน 3. นวัตกรรม จีนมีความก้าวหน้าด้านดิจิทัลเทคโนโลยี ไบโอเทคโนโลยี รถยนต์ไฟฟ้า และอวกาศ ขณะที่ไทยมุ่งสู่ Smart Economy และ Smart Society การถ่ายทอดระหว่างกันจึงสามารถยกระดับขีดความสามารถของทั้งสองฝ่ายได้ 4. การเงิน มูลค่าตลาดทุนของจีนยังมีสัดส่วนเพียงราว 60% ของ GDP ขณะที่ไทยอยู่ราว 80% ซึ่งยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก 5. สังคมสูงวัย ไทยและจีนเข้าสู่ภาวะ Super Aging Society จำนวนผู้เกิดใหม่น้อย ซึ่งเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสทางเศรษฐกิจ
พร้อมย้ำถึงบทบาทของมหาวิทยาลัยในวันนี้ไม่ใช่เพียงการสอนในห้องเรียน แต่ต้องเชื่อมโยงภาคธุรกิจ นวัตกรรม และความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่ง PIM มีความพร้อมจากความร่วมมือกับสถาบันในจีน เพื่อการเชื่อมโยงศักยภาพของไทยและจีน ทั้งด้านบุคลากร เทคโนโลยี และเศรษฐกิจ จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งสองชาติในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” รองศาสตราจารย์ ดร. สมภพ กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับ ฯพณฯ ศาสตราจารย์ ดร. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ กล่าวถึงแนวความคิดของแผนพัฒนาฉบับนี้สะท้อนให้เห็นว่า จีนต้องการสร้างระบบพัฒนาที่สมดุล โดยใช้ศักยภาพของแต่ละภูมิภาค เกื้อหนุนกันและกัน รวมทั้งยกระดับเศรษฐกิจสำคัญเพื่อเป็นแกนกลางของการพัฒนาคุณภาพสูงทั่วประเทศ เราจะเห็นได้ว่าทิศทางความทันสมัยของจีนจะนำไปสู่การปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานระดับโลก เปลี่ยนแปลงรูปแบบการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ และการแข่งขันในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เข้มข้นขึ้น
สำหรับประเทศ อาเซียน และ ประเทศไทย การเปลี่ยนแปลงนี้จะเป็นทั้งแรงกดดันและจะเป็นทั้งเครื่องผลักดันในทางบวก และเปิดโอกาสใหม่ไปพร้อมกัน เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานผ่านโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative – BRI) จะช่วยเพิ่มการเชื่อมโยงเครือข่าย โลจิสติกส์ ในภูมิภาค การผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัล ของจีนจะกำหนดมาตรฐานใหม่ด้านข้อมูลและความปลอดภัยไซเบอร์ และโอกาสจากตลาดผู้บริโภคจีน เติบโตอย่างรวดเร็ว ก็เป็นช่องทางให้สินค้าและบริการจากไทยและอาเซียนจะเข้าไปเพิ่มพื้นที่ในการครองตลาดผู้บริโภคของจีน ดังนั้นประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคก็จำต้องปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายและมาตรฐานที่สูงขึ้น

ดร.นลินี ทวีสิน กล่าวว่า“แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 15 ไม่ใช่แนวคิดที่เป็นเพียงนามธรรม แต่สามารถเป็นรูปธรรมสำหรับประเทศไทยในการร่วมกันขับเคลื่อนคลื่นลูกใหม่ของการเจริญเติบโตเชิงคุณภาพระดับโลกด้วยกัน เราต้องยกระดับความสัมพันธ์จากการเป็นหุ้นส่วนทางการค้า สู่หุ้นส่วนแห่งอนาคตอันทันสมัยร่วมกัน ซึ่งความสำเร็จนี้ไม่ได้วัดเพียงปริมาณการค้า แต่จะสะท้อนคุณภาพชีวิตของประชาชน การเจริญเติบโตของภาคธุรกิจ ความก้าวหน้าทางวิชาการ และความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมที่เราร่วมกันดูแล ร่วมกันเขียนบทใหม่ของความสัมพันธ์ ไทย-จีน บทที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ความยั่งยืน และการเติบโตเชิงคุณภาพสูงร่วมกัน”

ปิดท้ายด้วย ดร. ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร บรรยายถึงจีนให้ความสำคัญกับการรวมตลาดภายในประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อแก้ไขปัญหาการที่สินค้าจากมณฑลหนึ่งไม่สามารถขายในอีกมณฑลหนึ่งได้ โดยมีโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่กำลังผลักดัน อาทิ เศรษฐกิจสีครามผสมผสานพลังงานสีเขียว ไม่ได้จำกัดแค่การประมงแต่ขยายไปสู่การติดตั้งทุ่งโซลาร์เซลล์ ช่วยสร้างรายได้และความยั่งยืนให้เกษตรกร R-Economy เพิ่มการใช้จ่ายมุ่งเพิ่มช่วงเวลาและปริมาณการใช้เงินของประชาชนและนักท่องเที่ยว
ทางด้านนวัตกรรมจีนใช้กลไกการรวมผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐและเอกชนเพื่อสร้างนวัตกรรมแบบก้าวกระโดด และต่อเนื่อง ประสบความสำเร็จอย่างสูงในเกือบทุกอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น พลังงานใหม่ เน้นรถยนต์พลังงานทางเลือกโดยเฉพาะรถไฟฟ้า รถไร้คนขับ พัฒนาอย่างกว้างขวางเพื่อใช้กับสินค้าและบริการ ระบบรางความเร็วสูงแห่งอนาคต ปัจจุบันพัฒนารถไฟแม่เหล็กไฟฟ้าที่ความเร็วได้ถึง 600 กม./ชม. เทคโนโลยีการบินและวัสดุใหม่ ให้ความสำคัญกับ Space Economy พร้อมการวิจัยวัสดุใหม่สำหรับบรรจุภัณฑ์ที่มีต้นทุนต่ำ โดยการพัฒนาเหล่านี้กำลังนำโลกเข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมโลกครั้งที่ 4 โดยการนำปัจจัยการผลิตและเทคโนโลยีที่ไม่เคยมีมาก่อนในอุตสาหกรรมยุคเก่ามาเป็นแกนหลักในการสร้างกำลังการผลิตคุณภาพสูงรูปแบบใหม่

ภายในงานมีผู้เข้าร่วมฟังจากภาครัฐ เอกชน ภาคการศึกษา ทั้งไทยและจีนเป็นจำนวนมาก เพื่อร่วมติดอาวุธทางปัญญา และถอดรหัสทิศทางการพัฒนาของจีน ใช้โอกาสจากการเปลี่ยนแปลงระดับโลกครั้งนี้ เพื่อเชื่อมโยงศักยภาพร่วมกันในมิติของนวัตกรรม เศรษฐกิจ และการพัฒนาที่สมดุล สู่การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างไทยกับจีน







