
สมาคมผู้สื่อข่าวส่งเสริมเอสเอ็มอีไทย ร่วมกับ สมาคมการค้าปลีกและเอสเอ็มอีทุนไทย ภาคีเครือข่าย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) และ เซเว่น อีเลฟเว่น จัดงานสัมมนาหัวข้อ “ พลิกวิกฤตสงครามการค้า สู่โอกาสใหม่ SMEs ไทยเติบโตอย่างยั่งยืน ” เพื่อให้ผู้ประกอบการไทย เข้าใจแนวโน้มธุรกิจในช่วงวิกฤต และหาโอกาสเติบโตอย่างมั่นคงในยุคดิจิทัล รวมถึงนำ AI มาช่วยสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน เมื่อวานนี้ 30 กรกฎาคม 2568 ณ งาน GCNT EXPO 2025 อาคาร True Digital Park ฝั่ง East ชั้น 6 ห้องออดิทอเรียม


โดยได้รับเกียติจาก คุณสุวิทย์ กิ่งแก้ว นายกสมาคมการค้าปลีกและเอสเอ็มอีทุนไทย เปิดเผย ในงานสัมมนาในหัวข้อ “ พลิกวิกฤตสงครามการค้า สู่โอกาสใหม่ SMEs ไทยเติบโตอย่างยั่งยืน ” ในหัวข้อ “ ทางรอดของ SMEs ไทยในวิกฤตสงครามการค้า ” โดยแนะว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย กำลังเผชิญกับผลกระทบอย่างหนักจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ระดับความรุนแรงเทียบเท่ากับความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ที่ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ บริการบางประเภท การปรับตัวใช้วิธีการเข้าถึงลูกค้าแบบใหม่ เช่นการใช้ “ อินฟลูเอนเซอร์ ” ซึ่งปัจจุบันมีบทบาทอย่างมากในการส่งเสริมการขาย เอสเอ็มอีไทยควรเปลี่ยนแนวคิดจากการขาย “ผลิตภัณฑ์” เพียงอย่างเดียว ไปสู่การพัฒนา “บริการ” และ “ประสบการณ์” ที่ลูกค้าได้รับ เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง และเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจในระยะยาว รวมถึงการให้ความสำคัญของการรักษาคุณภาพ ให้สม่ำเสมอเนื่องจากลูกค้าอาจไม่ยอมรับหากคุณภาพลดลง ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจอาจไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ในระยะ
ต่อด้วย “ SMEs กับการเตรียมรับมือสินค้าจีนทะลักเข้าไทยใน 6 เดือน หลังปีนี้ ” โดย รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ และ “ แนวทางการขอสินเชื่อและสนับสนุนจาก SME D Bank ” โดย คุณชาตรี เวทสรณสุธี รองกรรมการผู้จัดการ SME D Bank ปิดท้ายด้วยหัวข้อที่ผู้ประกอบการ SME ต้องใช้ในการปรับตัวกับธุรกิจในปัจจุบันอย่างมาก กับ “การทำธุรกิจด้วย AI เพื่อความยั่งยืน” โดย โซอี้ – ภญ.โสภา พิมพ์สิริพานิชย์ ผู้เชี่ยวชาญด้าน Generative AI และนักสร้างเนื้อหายอดนิยมบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่มีผู้ติดตามกว่า 8.6 แสนคน การสัมมนาครั้งนี้ เชื่อว่าสามารถเปิดมุมมองและสร้างองค์ความรู้ให้ผู้ประกอบการ และผู้ที่สนใจ เพื่อสร้างโอกาสใหม่ในการพัฒนา SMEs ไทย ให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ซึ่ง รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ กล่าวในงานเสวนา “พลิกวิกฤตสงครามการค้า สู่โอกาสใหม่ SMEs ไทย เติบโตยั่งยืน” ว่า ในช่วง 3–6 เดือนข้างหน้า สถานการณ์โลกจะยังคงผันผวน โดยเฉพาะภายหลังที่สหรัฐฯ กำหนดท่าทีชัดเจนเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้า ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะสินค้าจากจีนที่กำลังเผชิญภาวะกำลังการผลิตล้นตลาด (Over Capacity) เนื่องจากไม่สามารถส่งออกไปยังสหรัฐฯ ได้ในปริมาณเดิม สำหรับประเทศไทยเองอาจได้รับผลกระทบจากการไหลบ่าของสินค้าจีนใน 2 ลักษณะ ได้แก่ สินค้าสำเร็จรูปที่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคโดยตรง (Final Product) และชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบที่ภาคการผลิตไทยต้องพึ่งพา (Components/Parts)
จีนกำลังเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจาก “โรงงานของโลก” สู่การเป็น “ตลาดของโลก” (Global Marketplace) โดยลดการพึ่งพาการส่งออก และหันมาเน้นการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น ผ่านการส่งเสริมเศรษฐกิจภาคบริการ เช่น การท่องเที่ยว ธุรกิจอาหาร อุตสาหกรรมบันเทิง กีฬา และสุขภาพ โดยเฉพาะซีรีส์ ภาพยนตร์จีน กีฬาและ Wellness ที่กำลังเติบโตอย่างเด่นชัด ซึ่งถือเป็นการสร้างฐานเศรษฐกิจใหม่ที่ไม่ต้องพึ่งพาตลาดต่างประเทศเช่นในอดีต ขณะเดียวกัน จีนยังลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมและบริการเป็นหลัก
จากแนวโน้มดังกล่าว รศ.ดร.สมภพ ชี้ว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งปรับตัวเช่นเดียวกัน ไม่สามารถยึดติดอยู่กับเศรษฐกิจฐานการผลิต (Production-Based Economy) และการส่งออกเป็นหลักได้อีกต่อไป หากต้องการอยู่รอดและแข่งขันในระบบเศรษฐกิจใหม่ของโลก ในอดีต ไทยเคยเติบโตจากการเป็นฐานการผลิตของโลก โดยเป็น OEM (Original Equipment Manufacturer) มายาวนานตั้งแต่ยุค 1960 ผ่านนโยบายส่งเสริมการลงทุนเพื่อดึงดูดต่างชาติให้มาตั้งโรงงานผลิตในไทย ทั้งในยุคอุตสาหกรรมทดแทนการนำเข้า (Import-substitute) และอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก (Export-oriented) อย่างไรก็ตาม แม้ใช้กลยุทธ์นี้มายาวนานกว่า 40–50 ปี แต่ไทยยังไม่สามารถก้าวข้ามกับดัก OEM ได้อย่างแท้จริง แบรนด์ไทยที่สามารถไปไกลในระดับโลกยังมีไม่มาก และสินค้าไทยจำนวนมากที่ส่งออกไปยังคงไม่มีแบรนด์เป็นของตัวเอง
ไทยจึงจำเป็นต้องสร้างทางเลือกใหม่ โดยเฉพาะการผลักดันเศรษฐกิจภาคบริการ (Service Economy) ให้เติบโตอย่างรอบด้าน ไม่ใช่เพียงแค่การท่องเที่ยว แต่รวมถึงธุรกิจอาหาร (Food Service), สุขภาพและสุขภาวะ (Healthcare & Wellness), ความบันเทิง (Entertainment), เศรษฐกิจกีฬา (Sport Economy), การค้าปลีกค้าส่ง และบริการดิจิทัล (Digital Services) ซึ่งหากสามารถพัฒนาได้สำเร็จ ก็จะช่วยสร้างตลาดรองรับสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมในประเทศโดยตรง เพิ่มมูลค่าสินค้าผ่านการแปรรูป สร้างแบรนด์ และจัดการห่วงโซ่คุณค่าอย่างครบวงจร แทนการส่งออกวัตถุดิบราคาถูกเพียงอย่างเดียว
ในระยะยาว เมื่อรายได้ของประชาชนเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจเติบโต ความต้องการของผู้คนก็จะเปลี่ยนจากปัจจัยพื้นฐาน ไปสู่บริการที่ตอบโจทย์คุณภาพชีวิตมากขึ้น ซึ่งภาคบริการสามารถตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้อย่างครบถ้วน นี่คือโอกาสสำคัญที่ประเทศไทยต้องเร่งคว้าไว้ พร้อมกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อเปลี่ยนผ่านจากประเทศผู้ผลิตไปสู่ประเทศที่สร้างมูลค่าและนวัตกรรมอย่างแท้จริง
ที่มา : เว็บไซต์ POST TODAY, เว็บไซต์ newsfreelancer